ลิเวอร์พูล ยังคงรักษาฟอร์มเก่งเอาไว้ได้อีกแมตช์เมื่อพวกเขาจัดหนักใส่ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี 2-0 ที่สนามแอนฟิลด์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ตอนนี้ “หงส์แดง” ตีปีกบินแซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงลีกอีกครั้ง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นให้กับเจ้าบ้าน และยิงประตูสุดสวยให้กับต้นสังกัด ขณะที่ ซาดิโอ มาเน่ ยังคงทำผลงานได้อย่างร้อนแรง เมื่อจัดการปลดล็อกด้วยการโหม่งประตูให้ทีมขึ้นนำ หลังจากที่ครึ่งแรกเสมอกันแบบไร้สกอร์
นอกจากนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ยังได้ค้นพบ 3 กองกลางที่น่าจะลงสนามเป็นตัวจริงในช่วงที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้ เพราะ ฟาบินโญ่, นาบี เกอิต้า และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เล่นกันได้อย่างเข้าขารู้ใจ ซึ่งสามารถจัดการแผงมิดฟิลด์ “สิงห์บลูส์” อยู่หมัด
1. ซาลาห์ องค์ลง
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำผลงานเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายในฤดูกาลหน้า แต่สำหรับฟอร์มของเขาในแมตช์ที่รับมือกับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ซึ่งเป็นอดีตต้นสังกัด ต้องบอกเลยว่าความเก่งฉกาจของเจ้าตัวมาถูกที่ถูกเวลาพอดีเป๊ะ เพราะ “บังโม” โชว์ของป่วนเกมรับผู้มาเยือนได้ตลอด
สตาร์ลูกหนังชาวอียิปต์ มีส่วนกับการเล่นเกมรุกของ “หงส์แดง” อย่างมาก โดยเขาสามารถสร้างความระส่ำระส่ายบริเวณริมเส้นได้อย่างต่อเนื่อง ชนิดที่เกมรับของ เชลซี ตั้งกระบวนยุทธไม่ถูก โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ซาลาห์ ฉายแสงความเป็นสุดยอดแข้งระดับโลก

จังหวะที่ทีมได้ประตูที่สอง ซาลาห์ ลากบอลจากริมเส้นฝั่งขวาก่อนจะตัดเข้าใน และตะบันเต็มข้อบอลพุ่งแหวกอากาศผ่านมือ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า นายทวารค่าตัวแพงระยับ เข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งนั่นเป็นประตูที่ช่วยทำให้สาวก “เดอะ ค็อป” รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้าหน้ามีคำถามเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของ อดีตดาวเตะ โรม่า และ เชลซี แต่แมตช์นี้เจ้าตัวได้ตอบทุกข้อสงสัยได้แล้วว่าเขายังคงสุดยอดมากแค่ไหนในการไล่ล่าตาข่ายคู่แข่ง แม้อาจจะมีฟอร์มหลุดไปบ้าง 2-3 แมตช์ แต่ก็สามารถกลับมาโชว์ศักยภาพได้อีกครั้งเมื่อถึงช่วยเวลาสำคัญ
2) กองกลางมีความสมดุล
เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเจอกับเรื่องเครียดในการจัดแผงกองกลางในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้พบกับสมดุลในแผงมิดฟิลด์แล้ว
กุนซือชาวเยอรมัน ตัดสินใจดร็อป จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม เป็นตัวสำรอง และเลือกใช้ ฟาบินโญ่ ลงเล่นตัวจริงเคียงข้าง นาบี เกอิต้า กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งถูกจับให้ขึ้นไปเล่นสูงและมักจะทะลุเข้าไปบริเวณกรอบเขตโทษ เชลซี หลายต่อหลังครั้ง แถมยังมีจังหวะตัดบอล และแอสซิสต์ให้ ซาดิโอ มาเน่ ทำประตูแรกให้ทีมด้วย

ขณะที่ เกอิต้า กับ ฟาบินโญ่ ซึ่งค่อยทำหน้าที่เป็นกำลังหนุนให้ “เฮนโด้” ประสานงานได้อย่างลงตัว โดยเขาสามารถตัดเกมแดนกลางของ “สิงโตน้ำเงินคราม” และยังจัดการไม่ให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค มีโอกาสทำเกมได้ถนัด
ทั้งนี้ คล็อปป์ ได้ค้นพบสูตรสำเร็จในแผงกองกลางที่ลงตัวแล้ว และน่าจะใช้ทั้ง 3 คนนี้ลงเล่นในทุกๆ แมตช์ที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้
3. พละกำลัง, คุมเกม และความแน่นอน
บางครั้งทีมที่เล่นไดีกว่าก็อาจไม่ชนะ บางครั้งทีมที่เล่นเกมรับอาจได้ชัยชนะ หรือบางครั้งทีมที่เล่นเกมรุกก็อาจจะได้ 3 คะแนน สำหรับเกมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา “เดอะ เร้ดส์” แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่สมบูรณ์แบบทั้งคุมเกมได้ตลอด และยังเล่นเกมรับได้เหนียวแน่นเมื่อได้ประตูขึ้นนำ 2-0
ตั้งแต่เริ่มเกม ลิเวอร์พูล พยายามเปิดเกมบุกอย่างหนักเพื่อหวังจะได้ประตูขึ้นนำ แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมาประสบความสำเร็จในช่วงครึ่งหลังจาก ซาดิโอ มาเน่ และ โม ซาลาห์ หลังจากนั้น “สิงห์บลูส์” เหมือนตื่นจากภวังค์ พยายามโหมกระหน่ำหวังจะยิงประตูตีไข่แตกให้ได้เร็วๆ

จะว่าไปแล้วพวกเขาก็มีโอกาสจาก เอแด็น อาซาร์ ถึงสองครั้งแต่ ลิเวอร์พูล มีทั้งความเก่งบวกความเฮง ขณะเดียวกันแผงแบ็กโฟร์ของพวกเขาก็สามารถคุมเกมบุกของ เชลซี ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็อาจจะเจอสถานการณ์กดดันอยู่บ้างในการรับมือกับ อาซาร์ ส่วนแนวรุกคนอื่นๆ ของผู้มาเยือนแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย
หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ผ่านช่วงเวลาวิกฤติที่โดน เชลซี โหมบุกใส่ไปได้ จากนั้นพวกเขาก็สามารถกลับมาคุมเกมได้อีกครั้ง และโชว์ให้เห็นถึงการเล่นที่มั่นใจ สุดท้ายก็สามารถเก็บ 3 แต้มสำคัญกลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงได้อีกครั้ง
4. ลิเวอร์พูล เฉียบคมกว่า
สำหรับเกมนี้ช่วงครึ่งแรก ลิเวอร์พูล มีโอกาสที่จะสร้างสรรค์เกม และทำประตูแต่ก็ไม่ได้มากนัก ขณะที่ เชลซี ตอบโต้ได้บ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้แผงแบ็กโฟร์ และ อลิสซง เบ็คเกอร์ ต้องออกแรงเหนื่อยอะไรเลย ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ครึ่งแรกสกอร์จะจบลง 0-0
ในส่วนของครึ่งหลัง “เดอะ เร้ดส์” เร่งเครื่องเกมบุกมากขึ้นและพยายามที่จะใช้ทุกๆ โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในจังหวะที่ เฮนเดอร์สัน เปิดบอลบริเวณริมเส้นหลังให้ มาเน่ ขึ้นโขกเป็นประตู รวมไปถึงจังหวะยิงไกลสุดสวยของ ซาลาห์ แสดงให้เห็นว่าลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ฉกฉวยโอกาสสำคัญและเปลี่ยนเป็นประตูได้สำเร็จ

สวนทางกลับ เชลซี ที่ดูเหมือนว่าจะขาดความเฉียบคมในแดนหน้า เห็นได้ชัดจากจังหวะของ อาซาร์ ที่วิ่งหลุดกับดักล้ำหน้าและจับบอลเชื่องเท้าแต่ดันยิงไปชนเสา รวมไปถึงจังหวะที่ยิงจ่อๆ หน้าประตูแต่ติดเซฟของ อลีสซง ขณะที่ในรายของ กอนซาโล่ อิกวาอิน ก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรกับทีมเลย
ฉะนั้นต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล มีความเฉียบคมผสมกับดวงมากกว่า เชลซี ในแมตช์นี้
5. ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอย
เมื่อ 5 ปีก่อน ลิเวอร์พูล มีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก และต้องดวลกับ เชลซี ในแอนฟิลด์ แต่เรื่องสุดช็อกก็เกิดขึ้นในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก เนื่องจาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลื่น และทำให้ทีมโดน เดมบ้า บา ลากบอลกว่าครึ่งสนามเข้าไปยิงประตูในแมตช์ดังกล่าว
ก่อนเกมนี้มีหลายคนมักจะนำเรื่องราว “เจอร์ลื่น” มาล้อเลียนสาวก “เดอะ ค็อป” อย่างเมามัน อย่างไรก็ตามเหตุการณ์สยองดังกล่าวไม่เกิดขึ้นในแมตช์นี้ และชัยชนะของพวกเขาช่วยตอกย้ำบรรดากองแช่งให้หุบปากไปได้ชั่วขณะได้ดีเลยทีเดียว

กระนั้นหากใครได้ชมเกมนี้จะเห็นว่า แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายตัวเก่งของทีม ดันลื่นล้มบริเวณเกือบกลางสนาม แต่เดชะบุญที่เขาล้มต่อหน้า อิกวาอิน ทำให้ทีมไม่ต้องเจอกับสถานการณ์กดดัน นี่หากล้มต่อหน้า อาซาร์ ไม่อยากคิดเลยว่าจะสยองขนาดไหน
Cr : siamsport